บทความทั้งหมด

สุขภาพทางเพศ

ซิฟิลิส (Syphilis): โรคเงียบที่อันตรายกว่าที่คิด

ซิฟิลิสคืออะไร?

ซิฟิลิสเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Treponema pallidum ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยตรงกับผู้ที่มีแผล หรือผ่านทางเลือดและการคลอดจากแม่สู่ลูกได้


อาการของซิฟิลิสในแต่ละระยะ

🔹 ระยะแรก (Primary Stage)

  • มักเกิดแผลเดี่ยว ๆ ไม่เจ็บ เรียกว่า “แผลริมแข็ง”
  • แผลจะอยู่บริเวณอวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก
  • หายเองได้ใน 2–6 สัปดาห์ แต่เชื้อยังอยู่ในร่างกาย

🔹 ระยะที่สอง (Secondary Stage)

  • มีผื่นขึ้นทั่วตัว รวมถึงฝ่ามือ ฝ่าเท้า
  • มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ผมร่วงแบบเป็นหย่อม ๆ
  • อาการอาจหายไปเอง แต่เชื้อยังคงอยู่

🔹 ระยะซ่อนตัว (Latent Stage)

  • ไม่มีอาการ แต่สามารถตรวจพบเชื้อในเลือด
  • อาจอยู่ในร่างกายหลายปีโดยไม่รู้ตัว

🔹 ระยะสุดท้าย (Tertiary Stage)

  • เชื้อลุกลามไปยังหัวใจ สมอง กระดูก และอวัยวะอื่น ๆ
  • อาจทำให้เกิดอัมพาต ตาบอด หรือเสียชีวิตได้


การติดต่อของซิฟิลิส
  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน (ทางช่องคลอด ปาก หรือทวารหนัก)
  • การสัมผัสโดยตรงกับแผลริมแข็งหรือสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
  • การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกระหว่างตั้งครรภ์หรือขณะคลอด

การตรวจและวินิจฉัย

แพทย์จะทำการตรวจเลือดเพื่อหาแอนติบอดีของเชื้อ Treponema pallidum เช่น

  • VDRL (Venereal Disease Research Laboratory)
  • TPHA (Treponema Pallidum Hemagglutination)
    หากผลเป็นบวก ต้องเข้ารับการรักษาทันที


แนวทางการรักษา
  • รักษาด้วย ยาปฏิชีวนะเพนิซิลลิน (Penicillin) เป็นหลัก
  • หากแพ้ยาเพนิซิลลิน อาจใช้ยาทางเลือกอื่นภายใต้การดูแลของแพทย์
  • คู่ครองต้องได้รับการตรวจและรักษาพร้อมกัน
  • ห้ามหยุดยาเองหรือซื้อยากินเอง เพราะอาจทำให้เชื้อไม่หมดและกลับมาเป็นซ้ำ

ภาวะแทรกซ้อนที่ควรระวัง

  • เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือติดเชื้อที่สมอง
  • หัวใจและหลอดเลือดอักเสบ
  • ภาวะมีบุตรยาก
  • การแท้งหรือลูกติดเชื้อแต่กำเนิดในหญิงตั้งครรภ์

การป้องกันซิฟิลิส

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน
  • ตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง
  • หากพบว่าคู่ของตนติดโรค ควรตรวจและรักษาพร้อมกัน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
  • ถาม: ซิฟิลิสรักษาหายขาดไหม?
    ตอบ: หายขาดได้หากตรวจพบเร็วและรักษาด้วยยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม
  • ถาม: ถ้าไม่มีแผลริมแข็ง ยังสามารถแพร่เชื้อได้ไหม?
    ตอบ: ได้ โดยเฉพาะในระยะที่สองที่มีผื่นหรือแผลเล็ก ๆ ซึ่งมีเชื้ออยู่
  • ถาม: เป็นซิฟิลิสแล้วตั้งครรภ์ได้ไหม?
    ตอบ: ได้ แต่ควรได้รับการรักษาก่อนตั้งครรภ์ เพราะโรคสามารถแพร่สู่ทารกได้


ผลกระทบระยะยาวของโรคซิฟิลิส

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ซิฟิลิสอาจลุกลามจนเกิดความเสียหายถาวรต่ออวัยวะสำคัญหลายส่วนของร่างกาย ได้แก่

  • ระบบประสาท (Neurosyphilis): อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะรุนแรง แขนขาอ่อนแรง ชัก หรือสูญเสียความจำ
  • หัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Syphilis): เชื้ออาจทำให้หลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง ซึ่งอันตรายถึงชีวิต
  • ตาและหู: ทำให้ตาพร่ามัว หรือสูญเสียการมองเห็นและการได้ยิน
  • ผิวหนังและกระดูก: อาจเกิดก้อนเนื้อแข็งหรือรอยโรคที่ลุกลามในเนื้อเยื่อ

ผลกระทบเหล่านี้มักเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษานานหลายปี ทำให้โรคซิฟิลิสถูกจัดเป็นหนึ่งใน “โรคทางเพศสัมพันธ์ที่ร้ายแรง”


ซิฟิลิสแต่กำเนิด (Congenital Syphilis)

ซิฟิลิสสามารถติดต่อจากแม่สู่ลูกในครรภ์ได้ โดยเฉพาะหากแม่ไม่ได้รับการรักษาในช่วงตั้งครรภ์ ผลกระทบต่อทารก ได้แก่

  • แท้ง คลอดก่อนกำหนด หรือทารกเสียชีวิตในครรภ์
  • เด็กที่รอดอาจมีความผิดปกติ เช่น
  • กระดูกผิดรูป
  • ผื่นทั่วตัว
  • ตับม้ามโต
  • ความบกพร่องทางการได้ยินและการมองเห็น
  • พัฒนาการล่าช้า

หากตรวจพบเชื้อในหญิงตั้งครรภ์ แพทย์สามารถให้การรักษาเพื่อลดความเสี่ยงในการส่งต่อเชื้อไปยังทารกได้อย่างมาก


ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย

“ซิฟิลิสหายเองได้ ไม่ต้องรักษา”
➡️ ความจริง: อาการอาจหายเองในบางระยะ แต่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกายและลุกลามต่อได้

“ไม่มีแผล แปลว่าไม่แพร่เชื้อ”
➡️ ความจริง: ซิฟิลิสสามารถแพร่เชื้อได้แม้ไม่มีอาการ เพราะเชื้อยังคงอยู่ในกระแสเลือด

“เป็นโรคของคนสำส่อนเท่านั้น”
➡️ ความจริง: ทุกคนมีความเสี่ยง หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ไม่ว่าจะเพศใดหรืออาชีพใด


การดูแลตนเองหลังการรักษา
  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งจนจบคอร์ส แม้อาการจะหายแล้ว
  • งดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากแพทย์
  • ตรวจเลือดติดตามผลซ้ำ เพื่อยืนยันว่าเชื้อหายจริง
  • คู่นอนควรตรวจและรักษาพร้อมกัน
  • ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด และใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง


สรุปท้ายบทความ

ซิฟิลิสอาจเป็นโรคที่เริ่มต้นด้วยแผลเล็ก ๆ แต่ถ้าปล่อยไว้โดยไม่รักษา ผลลัพธ์อาจใหญ่หลวงกว่าที่คิด ทั้งต่อร่างกาย จิตใจ และคนรอบข้าง การตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ การใช้ถุงยางทุกครั้ง และการรักษาภายใต้การดูแลของแพทย์ คือทางออกที่ดีที่สุดในการปกป้องสุขภาพของคุณ

Share

facebookline