บทความทั้งหมด

สุขภาพทั่วไป
กินแล้วป่วยไม่รู้ตัว! ระวังภัยเงียบจากอาหารเป็นพิษ
อาหารเป็นพิษ (Food Poisoning)
ภัยเงียบที่มากับอาหารที่เรากิน
อาหารเป็นพิษคืออะไร?
อาหารเป็นพิษ (Food Poisoning) คือภาวะที่เกิดจากการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น แบคทีเรีย ไวรัส หรือสารพิษที่สร้างโดยเชื้อจุลชีพ ซึ่งส่งผลต่อระบบทางเดินอาหารโดยตรง ทำให้เกิดอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสียในระยะเวลาอันรวดเร็วหลังจากกินอาหารนั้นเข้าไป
สาเหตุของอาหารเป็นพิษ
- เชื้อแบคทีเรีย
ซัลโมเนลลา (Salmonella): พบในไข่ดิบ เนื้อสัตว์ดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ
อีโคไล (E. coli): พบในเนื้อดิบ ผักผลไม้ที่ล้างไม่สะอาด
แคมไพโลแบคเตอร์ (Campylobacter): มักพบในไก่ดิบหรือปรุงไม่สุก - ไวรัส
โนโรไวรัส (Norovirus): ติดง่ายจากน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อน
โรตาไวรัส (Rotavirus): พบมากในเด็กเล็ก - สารพิษจากเชื้อราและแบคทีเรีย
เช่น สารพิษในอาหารกระป๋องที่หมดอายุ หรืออาหารที่เก็บไว้นาน
อาการของอาหารเป็นพิษ
อาการมักเกิดขึ้นภายใน 1–72 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหาร และอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน เช่น:
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดท้อง บิดเกร็ง
- ท้องเสีย (อาจมีมูกหรือเลือด)
- มีไข้ หนาวสั่น
- อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
- ปากแห้ง กระหายน้ำ (อาการขาดน้ำ)
ในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ อาจมีอาการรุนแรงและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง
การดูแลและรักษาเบื้องต้น
- ดื่มน้ำมากๆ เพื่อชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป
- หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด มัน หรือย่อยยาก จนกว่าอาการจะดีขึ้น
- ใช้ผงเกลือแร่ (ORS) หรือเครื่องดื่มเกลือแร่เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
- หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน หรือมีไข้สูง อาเจียนรุนแรง หรือถ่ายเป็นเลือด ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
วิธีป้องกันอาหารเป็นพิษ
- ล้างมือให้สะอาด ก่อนปรุงอาหารและก่อนกินอาหาร
- ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึง โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ ไข่ และอาหารทะเล
- เก็บอาหารในอุณหภูมิที่เหมาะสม อย่าทิ้งอาหารไว้นานที่อุณหภูมิห้อง
- ล้างผักผลไม้ให้สะอาด ก่อนบริโภคหรือปรุงอาหาร
- ไม่ใช้มีดหรือเขียงร่วมกันระหว่างอาหารดิบกับอาหารสุก เพื่อป้องกันการปนเปื้อน
- ระวังอาหารจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ เช่น อาหารริมทางที่ไม่ได้ปิดฝาครอบ หรือไม่มีการดูแลความสะอาด
ใครบ้างที่เสี่ยง “อาหารเป็นพิษ” ได้ง่าย?
แม้ว่าทุกคนสามารถเป็นอาหารเป็นพิษได้ แต่กลุ่มต่อไปนี้จะเสี่ยงมีอาการรุนแรงหรือภาวะแทรกซ้อนมากกว่าคนทั่วไป:
- เด็กเล็ก – ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์ เสี่ยงขาดน้ำง่าย
- ผู้สูงอายุ – ระบบย่อยอาหารและภูมิคุ้มกันเริ่มเสื่อมถอย
- หญิงตั้งครรภ์ – การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนลง
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว – เช่น เบาหวาน โรคไต หรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน
- ผู้ที่รับประทานอาหารนอกบ้านบ่อย – เช่น พนักงานออฟฟิศ นักเรียน นักศึกษา หรือสายสตรีทฟู้ด
อาหารที่ต้องระวังเป็นพิเศษ
- อาหารปรุงไม่สุก เช่น ปลาดิบ ยำ สเต็กแบบ rare
- อาหารที่ตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องเกิน 2 ชั่วโมง
- อาหารกระป๋องที่บวม หรือมีรอยรั่ว
- อาหารที่หมดอายุหรือใกล้หมดอายุ
- นมที่ไม่ได้ผ่านการพาสเจอไรซ์
เคล็ดลับดีๆ เพื่อห่างไกลอาหารเป็นพิษ
✅ ใช้เทคนิค “แยก – ล้าง – ปรุง – แช่เย็น”
- แยก อาหารดิบกับสุก ไม่ใช้ภาชนะร่วมกัน
- ล้าง วัตถุดิบให้สะอาดก่อนปรุง
- ปรุง อาหารให้สุกทั่วถึง
- แช่เย็น อาหารที่เหลือไว้ไม่เกิน 2 ชั่วโมง
✅ พกเจลแอลกอฮอล์หรือล้างมือก่อนรับประทานอาหาร
✅ เลือกร้านอาหารที่สะอาด ได้มาตรฐาน
✅ หลีกเลี่ยงการกินของเหลือค้างคืนโดยไม่อุ่นให้ร้อนก่อน
✅ อ่านฉลากอาหารก่อนซื้อทุกครั้ง โดยเฉพาะวันหมดอายุ
ข้อควรระวังในการใช้ยา
หลายคนมักรีบดื่มยาหยุดถ่ายเมื่อเกิดอาการท้องเสียจากอาหารเป็นพิษ แต่อาจเป็นการทำให้เชื้อโรคค้างอยู่ในร่างกายนานขึ้น เพราะอาการท้องเสียคือกลไกธรรมชาติที่ร่างกายพยายามขับเชื้อออกมา ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาหยุดถ่ายโดยไม่จำเป็น และหากจำเป็นควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
เมื่อไรควรไปพบแพทย์ทันที?
- ถ่ายเหลวเกิน 6 ครั้ง/วัน หรืออาเจียนมากกว่า 3 ครั้ง
- มีอาการขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง ปัสสาวะน้อย วิงเวียน
- ถ่ายเป็นมูกเลือด หรือมีไข้สูงกว่า 38.5°C
- อาการไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง
- มีภาวะโรคประจำตัวอยู่เดิม
สรุปท้ายบทความ
อาหารเป็นพิษเป็นเรื่องที่อาจดูเล็กน้อย แต่หากไม่ดูแลอย่างถูกวิธีอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ การใส่ใจเรื่องอาหารและความสะอาดในชีวิตประจำวันจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หากดูแลตัวเองได้ดี ก็ห่างไกลโรคได้แน่นอนค่ะ 💪🥦🍱